คำอุปมาเรื่องผู้หว่าน(A)

13 ในวันเดียวกันนั้นพระเยซูเสด็จจากบ้านไปประทับที่ริมทะเลสาบ มีฝูงชนมากมายยิ่งนักมารุมล้อมพระองค์ พระองค์จึงทรงลงไปประทับในเรือขณะที่ประชาชนทั้งปวงยืนอยู่บนฝั่ง แล้วพระองค์ตรัสหลายสิ่งกับพวกเขาเป็นคำอุปมาเช่น “ชาวนาคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทางและนกมาจิกกินไปหมด บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหิน มีเนื้อดินน้อยจึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไปเพราะไม่มีราก บางเมล็ดตกกลางพงหนามโดนหนามงอกคลุม แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดีซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่าน ใครมีหู จงฟังเถิด”

10 เหล่าสาวกมาหาพระองค์และทูลถามว่า “เหตุใดพระองค์จึงตรัสกับประชาชนเป็นคำอุปมา?”

11 พระเยซูทรงตอบว่า “ความลับของอาณาจักรสวรรค์ทรงให้พวกท่านรู้ แต่ไม่ทรงให้พวกเขารู้ 12 ผู้ใดมีอยู่แล้วจะได้รับเพิ่มขึ้นจนมีล้นเหลือ ส่วนผู้ที่ไม่มีแม้ซึ่งเขามีอยู่ก็จะถูกริบไปจากเขา 13 ด้วยเหตุนี้เราจึงกล่าวกับพวกเขาเป็นคำอุปมาคือ

“แม้ได้ดู แต่พวกเขาก็ไม่เห็น
แม้ได้ฟัง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ยินหรือไม่เข้าใจ

14 เป็นจริงตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า

“ ‘เจ้าจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่มีวันเข้าใจ
เจ้าจะดูแล้วดูเล่า แต่จะไม่มีวันประจักษ์
15 เพราะจิตใจของชนชาตินี้ดื้อด้านไป
พวกเขาไม่ยอมเปิดหูเปิดตา
มิฉะนั้นแล้วพวกเขาจะได้เห็นกับตา
ได้ยินกับหู
เข้าใจด้วยจิตใจ
และหันกลับมา แล้วเราจะรักษาพวกเขาให้หาย’[a]

16 แต่ตาของท่านเป็นสุขเพราะได้เห็น หูของท่านเป็นสุขเพราะได้ยิน 17 เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้เผยพระวจนะและผู้ชอบธรรมมากมายปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านเห็นแต่ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ยินสิ่งที่พวกท่านได้ยินแต่ก็ไม่ได้ยิน

18 “จงฟังความหมายของคำอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้คือ 19 เมื่อผู้ใดได้ยินเนื้อความเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าและไม่เข้าใจ มารก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไป นี่คือเมล็ดพืชที่หว่านตามทาง 20 เมล็ดพืชที่ตกลงบนพื้นที่มีหินมากคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี 21 แต่เพราะไม่หยั่งรากลึก จึงคงอยู่แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้นก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว 22 เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนามคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติรัดเสียทำให้ไม่เกิดผล 23 ส่วนเมล็ดพืชซึ่งตกในดินดีนั้นคือผู้ที่ได้ยินพระวจนะและเข้าใจก็เกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่านลงไป”

คำอุปมาเรื่องวัชพืช

24 พระเยซูทรงยกคำอุปมาอีกว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนคนหว่านเมล็ดพันธุ์ดีในนาของตน 25 แต่ขณะที่ทุกคนหลับอยู่ศัตรูของเขามาหว่านวัชพืช[b]แทรกปนกับข้าวสาลีแล้วก็จากไป 26 เมื่อข้าวสาลีงอกและออกรวง วัชพืชก็ปรากฏขึ้นด้วย

27 “คนรับใช้มาบอกเจ้าของนาว่า ‘นายขอรับ ท่านหว่านข้าวดีในนาไม่ใช่หรือ? ก็แล้ววัชพืชมาจากไหน?

28 “นายตอบว่า ‘ฝีมือของศัตรู’

“คนรับใช้ถามว่า ‘ให้พวกเราไปถอนทิ้งดีไหม?’

29 “นายตอบว่า ‘อย่าเลย เพราะขณะถอนวัชพืชเจ้าอาจจะถอนข้าวสาลีขึ้นมาด้วย 30 ให้ทั้งคู่งอกขึ้นไปด้วยกันจนถึงเวลาเกี่ยว ถึงตอนนั้นเราจะบอกคนเกี่ยวให้เก็บวัชพืชก่อนและมัดเป็นฟ่อนนำไปเผาไฟ แล้วเก็บข้าวสาลีนำมาไว้ในยุ้งฉางของเรา’”

คำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ดและเชื้อขนม(B)

31 พระองค์ทรงยกคำอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีคนเอาไปเพาะในทุ่งของตน 32 แม้เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นก็ใหญ่ที่สุดในสวนและกลายเป็นต้นให้นกในอากาศมาเกาะกิ่ง”

33 แล้วทรงยกคำอุปมาอีกข้อหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนเชื้อขนมซึ่งผู้หญิงเอาไปผสมในแป้งกองใหญ่[c]จนแป้งทั้งก้อนฟูขึ้น”

34 ทั้งหมดนี้พระเยซูตรัสแก่ฝูงชนเป็นคำอุปมา พระองค์ไม่ได้ตรัสสิ่งใดกับพวกเขาเลยนอกจากคำอุปมา 35 ทั้งนี้เป็นจริงตามที่กล่าวไว้ผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า

“ข้าพเจ้าจะเอื้อนเอ่ยคำอุปมา
จะเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นไว้ตั้งแต่ครั้งทรงสร้างโลก”[d]

ทรงอธิบายคำอุปมาเรื่องวัชพืช

36 จากนั้นทรงละฝูงชนเข้าไปในบ้าน เหล่าสาวกมาทูลพระองค์ว่า “ขอทรงอธิบายคำอุปมาเรื่องวัชพืชด้วยเถิด”

37 พระเยซูตรัสตอบว่า “ผู้ที่หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรมนุษย์ 38 นาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีหมายถึงพลเมืองของอาณาจักรของพระเจ้า ส่วนวัชพืชหมายถึงพลเมืองของมาร 39 ศัตรูที่หว่านวัชพืชนั้นคือมาร เวลาเก็บเกี่ยวคือเมื่อสิ้นยุค และผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์

40 “วัชพืชถูกถอนมาเผาไฟอย่างไร เมื่อสิ้นยุคก็จะเป็นอย่างนั้น 41 บุตรมนุษย์จะส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มากำจัดทุกสิ่งอันเป็นต้นเหตุของบาปและกำจัดทุกคนที่ทำชั่วออกจากอาณาจักรของพระองค์ 42 แล้วโยนลงในเตาไฟลุกโชนที่ซึ่งจะมีการร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน 43 แล้วผู้ชอบธรรมจะส่องสว่างเหมือนดวงตะวันในอาณาจักรของพระบิดาของพวกเขา ใครมีหูที่จะฟังก็จงฟังเถิด”

คำอุปมาเรื่องขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่และไข่มุกล้ำค่า

44 “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา เมื่อมีผู้พบเข้าก็กลับซ่อนไว้และด้วยความตื่นเต้นยินดีจึงไปขายทุกสิ่งที่มีแล้วมาซื้อทุ่งนานั้น

45 “อนึ่งอาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม 46 เมื่อเขาได้พบไข่มุกล้ำค่าเม็ดหนึ่งจึงไปขายทุกสิ่งที่มีมาซื้อไข่มุกนั้น

คำอุปมาเรื่องอวน

47 “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับอวนซึ่งทอดลงในทะเลและจับปลาได้สารพัดชนิด 48 พอเต็มแล้วชาวประมงก็ลากอวนขึ้นฝั่งแล้วคัดเอาแต่ปลาที่ดีใส่ตะกร้า ส่วนที่ไม่ดีก็ทิ้งไป 49 เมื่อสิ้นยุคก็จะเป็นเช่นนี้ คือทูตสวรรค์จะมาแยกคนชั่วช้าออกจากคนชอบธรรม 50 และนำไปทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโชนที่ซึ่งจะมีการร่ำไห้และการขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”

51 พระเยซูตรัสถามว่า “ทั้งหมดนี้พวกท่านเข้าใจหรือไม่?”

พวกเขาทูลตอบว่า “เข้าใจพระเจ้าข้า”

52 พระองค์ตรัสว่า “เพราะฉะนั้นธรรมาจารย์ทุกคนที่รับคำสอนเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านซึ่งนำสมบัติใหม่และสมบัติเก่าออกมาจากคลังของตน”

ผู้เผยพระวจนะซึ่งไม่มีใครนับถือ(C)

53 เมื่อพระเยซูตรัสคำอุปมาเหล่านี้จบแล้วก็เสด็จออกจากที่นั่น 54 เมื่อมาถึงบ้านเกิดของพระองค์ พระองค์ทรงสั่งสอนประชาชนในธรรมศาลาและพวกเขาก็ประหลาดใจและพูดกันว่า “คนนี้ได้สติปัญญาและฤทธิ์อำนาจอัศจรรย์เหล่านี้มาจากไหน? 55 เขาเป็นลูกช่างไม้ไม่ใช่หรือ? แม่ของเขาชื่อมารีย์และน้องชายของเขาคือยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาส ไม่ใช่หรือ?” 56 น้องสาวของเขาทุกคนก็อยู่กับเราไม่ใช่หรือ? แล้วเขาได้สิ่งเหล่านี้มาจากไหนกัน? 57 เขาทั้งหลายจึงไม่พอใจพระองค์

ฝ่ายพระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ผู้เผยพระวจนะขาดคนนับถือก็แต่เฉพาะในบ้านเดิมและในครอบครัวของตนเอง”

58 และพระองค์ไม่ได้ทรงกระทำการอัศจรรย์ที่นั่นมากนักเนื่องจากพวกเขาไม่มีความเชื่อ

Footnotes

  1. 13:15 อสย.6:9,10
  2. 13:25 เป็นวัชพืชที่เป็นพิษ มีลักษณะคล้ายข้าวสาลีและข้าวไรย์ จะแยกออกจากกันได้ก็เมื่อใกล้เก็บเกี่ยว
  3. 13:33 ภาษากรีกว่า3 สาตอน(ประมาณ 20 กิโลกรัม)
  4. 13:35 สดด.78:2

อุปมาเรื่องผู้หว่านเมล็ด

13 ในวันนั้น พระเยซูออกจากบ้านไปนั่งอยู่ที่ริมฝั่งทะเลสาบ ฝูงชนจำนวนมากมาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์จึงลงไปนั่งในเรือโดยที่ฝูงชนทั้งหมดยังยืนอยู่ที่ชายทะเล พระองค์กล่าวเป็นอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังหลายต่อหลายเรื่องว่า “ชาวไร่คนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่เขากำลังหว่านเมล็ด บางเมล็ดตกลงตามทาง พวกนกพากันจิกกินเสียหมด บางเมล็ดตกลงบนหินซึ่งมีผิวดินเพียงเล็กน้อย ไม่ช้าเมล็ดก็งอกขึ้นเพราะดินไม่ลึก แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นแดดส่อง เมล็ดเหล่านั้นก็ถูกแผดเผาเสีย และเป็นเพราะไม่มีรากจึงเหี่ยวแห้งไป บางเมล็ดตกลงท่ามกลางไม้หนามที่เติบโตขึ้นและแย่งอาหารไปเสีย บางเมล็ดที่ตกบนดินดี ก็ให้ผลเป็น 100 เท่า บ้างเป็น 60 บ้างเป็น 30 เท่าของที่ได้หว่านไว้ ผู้ใดมีหู จงฟังเถิด”

10 เหล่าสาวกมาพูดกับพระองค์ว่า “ทำไมพระองค์จึงกล่าวเป็นอุปมาแก่พวกเขา” 11 พระองค์กล่าวตอบว่า “เราทำให้เจ้าเข้าใจถึงความลับของอาณาจักรแห่งสวรรค์แล้ว แต่ยังไม่ได้ให้กับพวกเขาเหล่านั้น 12 ผู้ใดก็ตามที่มีอยู่แล้วก็จะได้รับมากขึ้น และจะมีอย่างอุดมสมบูรณ์ แต่ผู้ใดที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่เขามีอยู่ ก็จะถูกยึดไปจากเขาเสีย 13 ฉะนั้นเราจึงพูดเป็นอุปมาแก่เขา ‘เพราะขณะที่กำลังมองดู พวกเขาก็มองไม่เห็น และขณะที่กำลังได้ยิน พวกเขาก็ไม่ได้ยิน หรือไม่เข้าใจ’ 14 พวกเขาเป็นไปตามคำกล่าวของพระเจ้าที่อิสยาห์เผยไว้ว่า

‘เจ้าจะได้ยินเรื่อยไป แต่ไม่มีวันที่จะเข้าใจ
    และเจ้าจะมองดูเรื่อยไป แต่ไม่มีวันที่จะเห็น
15 เพราะว่าใจของคนเหล่านี้แข็งกระด้าง
    และหูของเขาก็แทบจะไม่ได้ยิน
เขาปิดตาของตนเอง มิฉะนั้นตาของเขาจะมองเห็น
    หูจะได้ยิน และจิตใจของเขาจะเข้าใจ และหันกลับมา
แล้วเราจะรักษาเขาให้หายขาด’[a]

16 แต่นัยน์ตาของเจ้าเป็นสุขเพราะได้เห็น และหูของเจ้าเป็นสุขเพราะได้ยิน 17 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าและผู้มีความชอบธรรมหลายท่านใคร่จะเห็นเช่นเจ้าเห็น แต่ไม่อาจเห็น และใคร่ได้ยินเช่นเจ้าได้ยิน แต่ไม่ได้ยิน

18 จงฟังเรื่องอุปมาของชาวไร่คนนั้น 19 เมื่อผู้ใดได้ยินเรื่องของอาณาจักร แล้วไม่เข้าใจก็เหมือนเมล็ดพืชที่หว่านไว้ตามทาง มารร้ายมาปล้นสิ่งที่ได้หว่านไว้ในจิตใจของเขา 20 เมล็ดพืชที่ตกลงบนหินซึ่งมีผิวดินเพียงเล็กน้อยเปรียบเสมือนคนที่ได้ยินคำกล่าวและรับไว้ทันทีด้วยความยินดี 21 แต่เขาไม่มีรากฐานอันมั่นคงในตัว จึงคงอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อเกิดความลำบากหรือการข่มเหงอันเนื่องมาจากคำกล่าว เขาก็ล้มเลิกความเชื่อเสียทันที 22 ส่วนเมล็ดพืชที่หว่านไว้ท่ามกลางไม้หนามเปรียบเสมือนคนที่ได้ยินคำกล่าว แล้วความกังวลต่างๆ ในโลก และแรงดึงดูดของความร่ำรวยเข้าแทรกซ้อนคำกล่าว จึงทำให้ไม่บังเกิดผล 23 เมล็ดพืชที่ตกบนดินดีเปรียบเสมือนคนที่ได้ยินคำกล่าว และเข้าใจ จึงเกิดผลแท้จริงเป็น 100 เท่า 60 และ 30 เท่า”

อุปมาเรื่องเมล็ดพืชชั้นดีและวัชพืช

24 พระองค์เล่าเรื่องเป็นอุปมาให้พวกเขาฟังอีกว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเสมือนกับชาวไร่คนหนึ่งที่ได้ใช้เมล็ดพืชดีหว่านในนาของเขา 25 ขณะที่คนนอนหลับกัน ศัตรูของเขามาหว่านเมล็ดวัชพืชปนกับเมล็ดข้าว แล้วหนีไป 26 เมื่อข้าวงอกขึ้นจนออกรวง วัชพืชก็งอกขึ้นเช่นกัน

27 บรรดาทาสรับใช้ของเจ้าของที่ดินมาถามเขาว่า ‘เจ้านาย ท่านได้หว่านเมล็ดดีในนาของท่านมิใช่หรือ แล้วมีวัชพืชด้วยได้อย่างไร’ 28 เขาตอบทาสรับใช้ว่า ‘ศัตรูเป็นคนกระทำ’ ทาสรับใช้พูดว่า ‘ถ้าเช่นนั้นแล้ว ท่านจะให้เราไปถอนมันทิ้งไหม’ 29 แต่นายตอบว่า ‘อย่าเลย เพราะหากว่าเจ้าถอนวัชพืชออก เจ้าอาจจะพลอยถอนข้าวดีไปด้วย 30 ปล่อยทั้งสองชนิดให้โตไปด้วยกันจนถึงเวลาเก็บเกี่ยว เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เราจะสั่งคนเกี่ยวว่า “มัดรวบรวมวัชพืชแล้วเผาไฟเสียก่อน แล้วจึงค่อยเก็บข้าวไว้ในยุ้งของเรา”’”

อุปมาเรื่องเมล็ดพันธุ์จิ๋ว

31 พระองค์เล่าเรื่องอุปมาให้พวกเขาฟังอีกว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์จิ๋วที่ชายคนหนึ่งเอาไปปลูกในนาของเขา 32 เมล็ดนี้เล็กที่สุดในบรรดาเมล็ดพืชอื่นๆ แต่เมื่อเติบโตเต็มที่แล้ว มันมีขนาดใหญ่กว่าบรรดาพืชสวนชนิดอื่น จนกลายเป็นต้นไม้ที่ฝูงนกเข้าพักพิงอาศัยได้ตามกิ่งของมัน”

อุปมาเรื่องเชื้อยีสต์

33 พระองค์กล่าวเป็นอุปมาอีกว่า “อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเสมือนเชื้อยีสต์[b]ที่หญิงคนหนึ่งเอาไปผสมในแป้ง 3 ถังจนแป้งขึ้นฟูทั้งหมด”

34 พระเยซูเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ฝูงชนฟังเป็นอุปมา พระองค์ไม่ได้กล่าวสิ่งใดโดยไม่ใช้คำอุปมาให้พวกเขาฟัง 35 เพื่อเป็นไปตามที่ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ากล่าวไว้คือ

“เราจะเปิดปากของเรากล่าวคำอุปมา
    เราจะเล่าเรื่องที่ซ่อนเร้นตั้งแต่แรกสร้างโลก”[c]

พระเยซูอธิบายคำอุปมาเรื่องวัชพืช

36 ครั้นแล้วพระเยซูก็จากฝูงชนเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง สาวกของพระองค์ได้กล่าวกับพระองค์ว่า “โปรดอธิบายคำอุปมาเรื่องวัชพืชในนาให้พวกเราฟังด้วยเถิด” 37 พระองค์กล่าวตอบว่า “ผู้ที่หว่านเมล็ดพืชชนิดดี คือบุตรมนุษย์ 38 นาก็คือโลก เมล็ดพืชชนิดดีคือบรรดาบุตรของอาณาจักร และเมล็ดวัชพืชคือบรรดาบุตรของมารร้าย 39 ศัตรูที่หว่านคือพญามาร และฤดูเก็บเกี่ยวแสดงถึงการสิ้นยุคนี้ บรรดาผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์ 40 ฉะนั้นเมล็ดวัชพืชถูกรวบรวมและถูกไฟเผาอย่างไร การสิ้นยุคนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น 41 บุตรมนุษย์จะส่งเหล่าทูตสวรรค์ของท่านให้มารวบรวมทุกสิ่งที่เป็นเหตุให้คนทำบาป และพวกที่ประพฤติชั่วร้ายไปเสียจากอาณาจักรของท่าน 42 แล้วโยนพวกเขาลงในเตาไฟ ณ ที่นั่นจะมีการร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน 43 แล้วรัศมีของบรรดาผู้มีความชอบธรรมจะสาดส่องดุจดวงอาทิตย์ในอาณาจักรของพระบิดาของเขา ผู้ใดมีหู จงฟังเถิด

อุปมาเรื่องสมบัติที่ซ่อนไว้

44 อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเสมือนสมบัติที่ซ่อนไว้ในทุ่งนาซึ่งชายคนหนึ่งมาพบแล้วนำไปซ่อนอีก ชายคนดังกล่าวยินดียิ่งจึงได้ขายทุกสิ่งที่ตนมีอยู่ เพื่อซื้อที่นานั้น

อุปมาเรื่องไข่มุก

45 อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบได้อีกเสมือนพ่อค้าคนหนึ่งที่เสาะหาไข่มุกชนิดดี 46 เมื่อพบไข่มุกเม็ดหนึ่งซึ่งมีค่ามหาศาล เขาก็ไปขายทุกสิ่งที่มีอยู่ แล้วมาซื้อไข่มุกนั้น

อุปมาเรื่องอวน

47 อีกประการหนึ่ง อาณาจักรแห่งสวรรค์เปรียบเสมือนอวนที่ทอดอยู่ในทะเล มีปลาทุกชนิดติดอยู่ 48 เมื่ออวนเต็ม เขาก็ลากขึ้นชายฝั่งและนั่งแยกปลาชนิดดีใส่ถัง ส่วนตัวที่ไม่ดีก็โยนทิ้งไป 49 เมื่อถึงการสิ้นยุคนี้ก็เช่นกัน เหล่าทูตสวรรค์จะมาเอาตัวพวกคนชั่วร้ายแยกไปจากบรรดาผู้มีความชอบธรรม 50 แล้วโยนพวกเขาลงในเตาไฟ ณ ที่นั่นจะมีการร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”

51 พระเยซูถามพวกเขาว่า “เจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้วยัง”

พวกเขาตอบว่า “เข้าใจ”

52 พระองค์กล่าวกับพวกเขาว่า “ฉะนั้นอาจารย์ฝ่ายกฎบัญญัติทุกคนที่เรียนรู้ถึงอาณาจักรแห่งสวรรค์ เปรียบเสมือนเจ้าบ้านที่เอาสมบัติทั้งใหม่และเก่าของตนออกมาให้ดู”

พระเยซูไม่เป็นที่ยอมรับ

53 ครั้นพระเยซูเล่าเรื่องอุปมาเหล่านี้จบแล้ว พระองค์ก็จากที่นั้นไป 54 และเมื่อมาถึงเมืองที่พระองค์เติบโตมา พระองค์ก็เริ่มสั่งสอนผู้คนในศาลาที่ประชุม จนพวกเขาอัศจรรย์ใจกันและพูดว่า “ชายผู้นี้ได้สติปัญญาและอานุภาพอันอัศจรรย์นี้มาจากไหน 55 ผู้นี้เป็นบุตรช่างไม้มิใช่หรือ แม่ชื่อมารีย์มิใช่หรือ พวกน้องชายคือยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาส 56 และน้องสาวทั้งปวงอยู่กับเรามิใช่หรือ แล้วชายผู้นี้เอาสิ่งเหล่านี้มาจากไหน” 57 และพวกเขาก็เหยียดหยามพระองค์ แต่พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้าเป็นที่ยอมรับนับถือทั่วทุกแห่งหน เว้นแต่ในเมืองที่ตนเติบโตมาและในครอบครัวของตนเอง” 58 พระองค์จึงไม่ได้กระทำสิ่งอัศจรรย์ที่นั่นมากเท่าใด ก็เนื่องมาจากความไม่เชื่อของพวกเขา

Footnotes

  1. 13:15 อิสยาห์ 6:9,10
  2. 13:33 เชื้อยีสต์ ในพระคัมภีร์มักจะหมายถึงสิ่งที่ชั่วร้าย แต่ในที่นี้หมายถึงการกระจายและเพิ่มพูน
  3. 13:35 สดุดี 78:2