พระเยซูทรงรับการชโลมที่เบธานี

12 หกวันก่อนถึงเทศกาลปัสกา พระเยซูเสด็จมาถึงหมู่บ้านเบธานีถิ่นที่อยู่ของลาซารัสผู้ซึ่งพระเยซูทรงให้ฟื้นขึ้นจากตาย ที่นั่นมีงานเลี้ยงเป็นเกียรติแด่พระเยซู มารธาคอยปรนนิบัติอยู่ ขณะนั้นลาซารัสเป็นคนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะกับพระองค์ มารีย์นำน้ำมันหอมบริสุทธิ์ราคาแพงประมาณครึ่งลิตร[a] มารินรดพระบาทของพระเยซูและใช้ผมของนางเช็ด กลิ่นน้ำมันหอมตลบอบอวลทั่วทั้งบ้าน

แต่สาวกคนหนึ่งของพระองค์คือยูดาสอิสคาริโอทซึ่งภายหลังทรยศพระองค์ได้คัดค้านขึ้นมาว่า “ทำไมไม่ขายน้ำมันหอมนี้และนำเงินไปแจกจ่ายให้คนยากจน? น้ำมันหอมนี้มีมูลค่าเท่ากับค่าแรงหนึ่งปี[b]ทีเดียว” เขาพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะห่วงใยคนจนแต่เพราะเขาเป็นขโมย ในฐานะผู้ถือกระเป๋าเงินเขาเคยยักยอกเงินที่ใส่ไว้ในนั้นไป

พระเยซูตรัสตอบว่า “ปล่อยนางเถิด {ตั้งใจไว้ว่า}นางควรจะเก็บน้ำมันหอมนี้ไว้สำหรับวันฝังศพของเรา จะมีคนจนอยู่ในหมู่ท่านเสมอแต่ท่านจะไม่มีเราอยู่ด้วยเสมอไป”

ขณะเดียวกันมีชาวยิวหมู่ใหญ่รู้ว่าพระเยซูทรงอยู่ที่นั่นจึงพากันมา พวกเขาไม่ได้มาเพียงเพราะพระองค์เท่านั้นแต่เพื่อจะได้เห็นลาซารัสผู้ซึ่งพระเยซูทรงให้เป็นขึ้นจากตายด้วย 10 ฉะนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตจึงวางแผนจะฆ่าลาซารัสด้วย 11 เพราะลาซารัสเป็นเหตุให้ชาวยิวหลายคนเปลี่ยนไปเชื่อพระเยซู

เสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต(A)

12 วันรุ่งขึ้นผู้คนมากมายที่มางานเทศกาลได้ข่าวว่าพระเยซูกำลังเสด็จมากรุงเยรูซาเล็ม 13 พวกเขาถือทางอินทผลัมออกมารับเสด็จและโห่ร้องว่า

“โฮซันนา![c]

“สรรเสริญพระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า!”[d]

“สรรเสริญองค์กษัตริย์แห่งอิสราเอล!”

14 พระเยซูทรงพบลูกลาตัวหนึ่ง จึงทรงลานั้นเหมือนที่มีเขียนไว้ว่า

15 “ธิดาแห่งศิโยน[e]เอ๋ย อย่ากลัวเลย
ดูเถิด กษัตริย์ของเจ้ากำลังเสด็จมา
ประทับนั่งมาบนลูกลา”[f]

16 ตอนแรกเหล่าสาวกไม่เข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ แต่เมื่อพระเยซูทรงได้รับพระเกียรติสิริแล้วพวกเขาจึงตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้มีเขียนไว้เกี่ยวกับพระองค์และเขาทั้งหลายได้กระทำเช่นนั้นถวายพระองค์

17 ฝ่ายคนทั้งปวงที่อยู่ด้วยกับพระองค์เมื่อครั้งทรงเรียกลาซารัสออกจากหลุมฝังศพและทรงให้เขาเป็นขึ้นจากตายก็แพร่ข่าวสืบต่อกันไป 18 ประชาชนมากมายพากันมาเข้าเฝ้าพระองค์เพราะได้ยินมาว่าพระองค์ทรงกระทำหมายสำคัญนี้ 19 ดังนั้นพวกฟาริสีจึงพูดกันว่า “เห็นไหม เราทำอะไรไม่ได้เลย ดูสิ โลกทั้งโลกได้ตามเขาไปแล้ว!”

พระเยซูทำนายถึงการที่จะต้องสิ้นพระชนม์

20 ในหมู่ประชาชนที่ขึ้นไปเพื่อนมัสการในเทศกาลนั้นมีบางคนเป็นชาวกรีก 21 พวกเขาไปหาฟีลิปซึ่งมาจากเบธไซดาในแคว้นกาลิลีและขอร้องเขาว่า “ท่านเจ้าข้า พวกเราอยากเห็นพระเยซู” 22 ฟีลิปจึงไปบอกอันดรูว์ แล้วอันดรูว์กับฟีลิปมาทูลพระเยซู

23 พระเยซูตรัสตอบว่า “ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับพระเกียรติสิริ 24 เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวสาลีไม่ได้ตกลงไปในดินและตายไปก็จะคงอยู่เพียงเมล็ดเดียว แต่ถ้าตายแล้วก็จะเกิดผลให้มีเมล็ดอื่นๆ มากมาย 25 ผู้ที่รักชีวิตจะสูญเสียชีวิต ส่วนผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้ก็จะรักษาชีวิตไว้และมีชีวิตนิรันดร์ 26 ผู้ที่รับใช้เราต้องตามเรามา และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราจะอยู่ที่นั่นด้วย พระบิดาของเราจะให้เกียรติแก่ผู้ที่รับใช้เรา

27 “ขณะนี้จิตใจของเราเป็นทุกข์และเราจะว่าอย่างไร? จะว่า ‘ข้าแต่พระบิดา ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นจากยามนี้ไปเถิด’ อย่างนั้นหรือ? ไม่เลยเพราะเรามาถึงยามนี้ก็เพื่อเหตุนี้ 28 ข้าแต่พระบิดา ขอทรงทำให้พระนามของพระองค์ได้รับพระเกียรติสิริ!”

แล้วมีพระสุรเสียงจากฟ้าสวรรค์ว่า “เราได้ทำให้พระนามนั้นรับพระเกียรติสิริแล้วและจะทำให้พระนามนั้นรับพระเกียรติสิริอีก” 29 ฝูงชนซึ่งอยู่ที่นั่นและได้ยินเสียงนี้ก็กล่าวว่าเกิดฟ้าร้อง คนอื่นๆ พูดว่าทูตสวรรค์องค์หนึ่งพูดกับพระองค์

30 พระเยซูตรัสว่า “เสียงนี้เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของพวกท่านมิใช่เพื่อเรา 31 บัดนี้ได้เวลาพิพากษาโลกนี้แล้ว บัดนี้ผู้ครองโลกนี้จะถูกขับไล่ออกไป 32 แต่เมื่อเราถูกยกขึ้น[g]จากแผ่นดินตรึงบนไม้กางเขน แล้วเราจะชักนำคนทั้งปวงมาหาเรา” 33 พระองค์ตรัสดังนี้เพื่อสำแดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร

34 ฝูงชนพูดขึ้นว่า “พวกข้าพเจ้าทราบจากหนังสือบทบัญญัติว่า พระคริสต์[h]จะทรงดำรงนิรันดร์ เหตุใดท่านจึงพูดว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น[i]?’ ใครคือ ‘บุตรมนุษย์’ ผู้นี้?”

35 แล้วพระเยซูตรัสบอกพวกเขาว่า “ท่านจะมีความสว่างอีกเพียงชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง จงเดินต่อไปขณะที่ยังมีแสงสว่างก่อนที่ความมืดจะจู่โจมเข้ามา ผู้ที่เดินในความมืดไม่รู้ว่าตนกำลังไปไหน 36 จงวางใจในความสว่างขณะที่ท่านยังมีความสว่างเพื่อท่านจะได้กลายเป็นลูกของความสว่าง” เมื่อตรัสจบแล้วพระเยซูก็เสด็จไปและทรงซ่อนตัวให้พ้นจากพวกเขา

ชาวยิวยังคงไม่เชื่อ

37 แม้พระเยซูได้กระทำหมายสำคัญทั้งปวงนี้ต่อหน้าพวกเขา พวกเขาก็ยังไม่เชื่อพระองค์ 38 ทั้งนี้เป็นไปตามคำของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ที่ว่า

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าได้เชื่อถ้อยคำของเรา
และพระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สำแดงแก่ผู้ใด?”[j]

39 ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่อาจเชื่อเพราะตามที่อิสยาห์กล่าวไว้อีกตอนหนึ่งว่า

40 “พระองค์ได้ทำให้ตาของพวกเขามืดบอดและทำให้จิตใจของพวกเขาตายด้าน
ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเห็นด้วยตา
ไม่เข้าใจด้วยจิตใจ
ทั้งไม่ยอมหันกลับมา แล้วเราจะรักษาพวกเขาให้หาย”[k]

41 อิสยาห์กล่าวเช่นนี้เพราะเขาเห็นพระเกียรติสิริของพระเยซูและกล่าวถึงพระองค์

42 กระนั้นในเวลาเดียวกันแม้ในหมู่ผู้นำก็มีหลายคนที่เชื่อในพระองค์ แต่พวกเขาไม่กล้าแสดงตัวเพราะกลัวจะถูกพวกฟาริสีอเปหิจากธรรมศาลา 43 เนื่องจากพวกเขารักการสรรเสริญจากมนุษย์มากกว่าการสรรเสริญจากพระเจ้า

44 แล้วพระเยซูทรงร้องว่า “เมื่อผู้ใดเชื่อในเรา เขาไม่เพียงเชื่อในเราเท่านั้นแต่ยังเชื่อในพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา 45 เมื่อเขามองดูเราเขาก็เห็นพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา 46 เราเข้ามาในโลกในฐานะที่เป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่เชื่อในเราจะไม่อยู่ในความมืด

47 “ส่วนผู้ที่ได้ยินคำของเราแล้วไม่ปฏิบัติตามเราไม่พิพากษาเขา เพราะเราไม่ได้มาเพื่อพิพากษาโลกแต่เพื่อช่วยโลกให้รอด 48 มีผู้พิพากษาสำหรับคนที่ปฏิเสธเราและไม่ยอมรับถ้อยคำของเราอยู่แล้ว คือถ้อยคำที่เรากล่าวนั้นเองจะตัดสินลงโทษเขาในวันสุดท้ายนั้น 49 เพราะเราไม่ได้พูดตามใจของเราเองแต่พระบิดาผู้ทรงส่งเรามาได้ทรงบัญชาเราว่าจะพูดอะไรและพูดอย่างไร 50 เรารู้ว่าพระบัญชาของพระองค์นำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ฉะนั้นสิ่งใดๆ ที่เราพูดก็คือสิ่งที่พระบิดาได้ตรัสบอกให้เราพูด”

Footnotes

  1. 12:3 ภาษากรีกว่า1 ลิตรา
  2. 12:5 ภาษากรีกว่า300 เดนาริอัน
  3. 12:13 สำนวนภาษาฮีบรูแปลว่า “ช่วยให้รอด!” ซึ่งกลายเป็นคำแสดงการสรรเสริญ
  4. 12:13 สดด.118:25,26
  5. 12:15 คือประชากรเยรูซาเล็ม
  6. 12:15 ศคย. 9:9
  7. 12:32 ในภาษากรีกคำว่ายกขึ้นอาจหมายความว่ายกย่อง
  8. 12:34 หรือพระเมสสิยาห์
  9. 12:34 หรือถูกประหาร
  10. 12:38 อสย.53:1
  11. 12:40 อสย.6:10

น้ำมันหอมชโลมเท้า

12 ก่อนเทศกาลปัสกาได้ 6 วัน พระเยซูได้มาที่หมู่บ้านเบธานีซึ่งเป็นที่อยู่ของลาซารัส ผู้ที่พระเยซูได้ให้ฟื้นคืนชีวิตจากความตาย มีคนจัดอาหารเย็นให้พระองค์ที่นั่น และลาซารัสเป็นคนหนึ่งที่ร่วมรับประทานกับพระองค์ที่โต๊ะ ขณะที่มาร์ธารับใช้อยู่ด้วย มารีย์เอาน้ำมันหอมนาราดาบริสุทธิ์ราคาแพงมาก หนักประมาณครึ่งกิโลกรัมมาชโลมเท้าของพระเยซู และเช็ดเท้าของพระองค์ด้วยผมของเธอ ทำให้ทั่วบ้านฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันหอม แต่คนหนึ่งในบรรดาสาวกของพระองค์ชื่อยูดาสอิสคาริโอท ซึ่งเป็นคนที่ตั้งใจจะทรยศพระองค์พูดขึ้นว่า “ทำไมไม่เอาน้ำหอมนี้ไปขาย จะได้ราคา 300 เหรียญเดนาริอัน และเอาเงินไปแจกแก่ผู้ยากไร้เล่า” ที่เขาพูดขึ้นเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเขาเอาใจใส่ผู้ยากไร้ แต่เป็นเพราะว่าเขาเป็นคนหัวขโมย และเมื่อมีหน้าที่ดูแลรักษากล่องเก็บเงิน เขาจึงเคยยักยอกเงินที่เก็บสะสมไว้ ดังนั้นพระเยซูจึงกล่าวว่า “ปล่อยนางเถิด นางเก็บน้ำหอมไว้สำหรับวันฝังศพของเรา พวกเจ้ามีผู้ยากไร้อยู่ด้วยเสมอ แต่เราไม่ได้อยู่กับพวกเจ้าตลอดไป”

ฝูงชนชาวยิวจำนวนมากทราบว่าพระองค์อยู่ที่นั่นจึงได้พากันมา มิใช่เพียงเพื่อพบพระเยซูเท่านั้น แต่ด้วยความอยากเห็นลาซารัสที่พระองค์ให้ฟื้นคืนชีวิตจากความตายด้วย 10 และพวกมหาปุโรหิตเองก็หมายจะฆ่าลาซารัสเช่นกัน 11 เพราะลาซารัสนี่เองที่ทำให้ชาวยิวหลายคนหันเหไปเชื่อในพระเยซู

พระเยซูเข้าไปในเมืองเยรูซาเล็ม

12 วันรุ่งขึ้นเมื่อมหาชนที่มาร่วมงานเทศกาลได้ยินว่า พระเยซูกำลังจะมายังเมืองเยรูซาเล็ม 13 จึงถือกิ่งอินทผลัมออกไปต้อนรับพระองค์แล้วก็เริ่มร้องว่า “โฮซันนา[a] ขอพระองค์ผู้มาในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าจงเป็นสุข ขอกษัตริย์ของอิสราเอลจงเป็นสุขเถิด”[b] 14 พระเยซูจึงนั่งบนลูกลาที่ได้มา ตามที่มีบันทึกไว้ว่า

15 “ธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย อย่ากลัวเลย
    ดูเถิด กษัตริย์ของเจ้ากำลังมา
    นั่งบนหลังลูกลา”[c]

16 ตอนแรก บรรดาสาวกของพระองค์ไม่เข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อพระเยซูได้รับพระบารมีแล้ว พวกเขาจึงจำได้ว่าสิ่งที่เขียนไว้นั้น ระบุถึงพระองค์และสิ่งที่ประชาชนได้กระทำต่อพระองค์ 17 พวกคนที่อยู่กับพระองค์ในเวลาที่พระองค์เรียกลาซารัสออกมาจากถ้ำเก็บศพ และให้เขาฟื้นคืนชีวิตจากความตายนั้น ก็กำลังยืนยันถึงเรื่องราวของพระองค์ 18 ด้วยเหตุนี้ฝูงชนจึงพากันไปหาพระองค์ เพราะเขาได้ยินกันว่าพระองค์ได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์นั้น 19 พวกฟาริสีจึงพูดโต้ตอบกันว่า “ท่านเห็นไหมว่าท่านทำอะไรไม่ได้เลย ดูสิ ทั้งโลกได้ติดตามเขาไปแล้ว”

พระเยซูแจ้งมรณกาลของพระองค์ล่วงหน้า

20 ในบรรดาผู้คนที่ขึ้นไปนมัสการในงานเทศกาลนั้นมีชาวกรีกร่วมไปด้วย 21 พวกเขาได้ไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี และพูดกับเขาว่า “นายท่าน พวกเราอยากจะเห็นพระเยซู” 22 ฟีลิปไปบอกอันดรูว์ แล้วทั้งฟีลิปกับอันดรูว์ก็ไปบอกพระเยซู 23 พระเยซูตอบเขาทั้งสองว่า “ถึงกำหนดเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับพระบารมี 24 เราขอบอกความจริงกับเจ้าว่า ถ้าเมล็ดข้าวสาลีไม่ตกลงบนพื้นดินและตายไป เมล็ดนั้นก็จะอยู่เพียงเมล็ดเดียว แต่ถ้าเมล็ดตายไปก็จะเกิดผลงอกงาม 25 ผู้ที่รักชีวิตของตนจะสูญเสียชีวิตนั้นไป และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้จะรักษาชีวิตไว้ได้ชั่วนิรันดร์ 26 ถ้าผู้ใดรับใช้เราก็ให้ติดตามเรามา และเราอยู่ที่ไหนผู้รับใช้ของเราก็จะอยู่ด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาก็จะให้เกียรติแก่ผู้นั้น

27 ขณะนี้จิตใจของเราเป็นทุกข์ จะให้เราพูดอย่างไรดี จะให้พูดว่า ‘พระบิดา โปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากช่วงเวลานี้เถิด’ อย่างนั้นหรือ ก็ไม่ได้ เป็นเพราะเหตุนี้เราจึงได้มาเผชิญช่วงเวลานี้อยู่ 28 พระบิดา ขอพระนามของพระองค์ได้รับพระบารมีเถิด” ในขณะนั้นได้มีเสียงจากสวรรค์ว่า “เราทั้งได้รับบารมีแล้ว และจะได้รับอีก” 29 บางคนในฝูงชนที่ยืนฟังอยู่พูดกันว่าเป็นเสียงฟ้าร้อง บ้างก็ว่าทูตสวรรค์ได้พูดกับพระองค์ 30 พระเยซูตอบว่า “เสียงนี้ไม่ได้เปล่งออกมาเพื่อเรา แต่เพื่อพวกท่าน 31 บัดนี้การกล่าวโทษอยู่กับโลกนี้ และบัดนี้ผู้ครองโลก[d]จะถูกโยนออกไปแล้ว 32 เมื่อเราถูกชูขึ้นเหนือโลก เราจะนำให้ทุกคนมาหาเรา” 33 พระองค์กล่าวเช่นนี้เพื่อชี้ให้เห็นว่าพระองค์จะต้องสิ้นชีวิตอย่างไร 34 ฝูงชนจึงตอบว่า “เราได้ยินจากกฎบัญญัติว่าพระคริสต์จะดำรงอยู่ตลอดกาล และท่านพูดได้อย่างไรว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกชูขึ้น’ บุตรมนุษย์คือใคร” 35 พระเยซูกล่าวกับเขาเหล่านั้นว่า “ในเมื่อความสว่างยังอยู่กับท่านยาวนานขึ้นอีกชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง จงเดินขณะที่ยังมีความสว่างอยู่ เพื่อว่าความมืดจะได้เอาชนะท่านไม่ได้ ผู้ที่เดินอยู่ในความมืดย่อมไม่รู้ว่าจะไปทางไหน 36 ขณะที่มีความสว่าง ก็จงเชื่อในความสว่าง เพื่อว่าท่านจะได้เป็นพวกบุตรของความสว่าง” หลังจากที่พระเยซูกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้แล้วก็จากไปเพื่อหลบซ่อนให้พ้นจากพวกเขา

ความไม่เชื่อของชาวยิว

37 ถึงแม้ว่าพระองค์ได้แสดงปรากฏการณ์อัศจรรย์หลายสิ่งต่อหน้าพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อพระองค์ 38 ซึ่งเป็นไปตามคำที่อิสยาห์ผู้เผยคำกล่าวของพระเจ้ากล่าวไว้คือ

“พระผู้เป็นเจ้า ใครบ้างที่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินจากพวกเราแล้ว
    และอานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าได้ปรากฏแจ้งแก่ผู้ใด”[e]

39 ด้วยเหตุนี้พวกเขาไม่อาจจะเชื่อในสิ่งเหล่านี้ เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้อีกว่า

40 “พระองค์ได้ทำให้พวกเขาตาบอด
    และทำใจของเขาให้แข็งกระด้าง
พวกเขาจึงไม่สามารถมองเห็นด้วยตา
    หรือเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และหันกลับมา
    แล้วเราจะรักษาเขาให้หายขาด”[f]

41 อิสยาห์พูดถึงพระองค์และกล่าวอ้างถึงสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะว่าได้เห็นพระบารมีของพระองค์แล้ว

42 แม้จะมีผู้คนจำนวนมากในบรรดาผู้อยู่ในระดับปกครองที่เชื่อในพระองค์ แต่เป็นเพราะพวกฟาริสี พวกเขาจึงไม่กล้ายอมรับกัน ด้วยเกรงว่าจะถูกขับไล่ออกจากศาลาที่ประชุม ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย 43 ผู้คนเหล่านั้นยังปรารถนาที่จะได้รับการยกย่องจากคนมากกว่าพระเจ้า

44 แล้วพระเยซูก็เปล่งเสียงดังว่า “ผู้ที่เชื่อเราหาได้เชื่อในเราเท่านั้นไม่ แต่เชื่อในพระองค์ผู้ส่งเรามาด้วย 45 และผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระองค์ผู้ส่งเรามา 46 เราได้มายังโลกนี้ในฐานะที่เป็นความสว่าง เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อเราจะได้ไม่อยู่ในความมืด 47 ถ้าผู้ใดได้ยินคำพูดของเราและไม่กระทำตาม เราก็จะไม่กล่าวโทษผู้นั้น เพราะเราไม่ได้มาเพื่อจะกล่าวโทษโลก แต่มาเพื่อช่วยโลกให้รอดพ้น 48 มีการกล่าวโทษสำหรับคนที่ไม่ยอมรับเราและคำของเราอยู่แล้ว คำที่เราพูดไว้จะกล่าวโทษเขาในวันสุดท้าย 49 เราไม่ได้พูดตามใจของเราเอง แต่พระบิดาผู้ส่งเรามาได้สั่งว่าเราจะพูดอะไรและพูดอย่างไร 50 เรารู้ว่าคำสั่งของพระองค์เป็นชีวิตอันเป็นนิรันดร์ ฉะนั้นอะไรก็ตามที่เราพูดเป็นสิ่งที่พระบิดาได้กล่าวกับเรา”

Footnotes

  1. 12:13 โฮซันนา เป็นภาษาฮีบรู มีความหมายว่า ช่วยให้รอดพ้น
  2. 12:13 สดุดี 118:25,26
  3. 12:15 เศคาริยาห์ 9:9
  4. 12:31 ผู้ครองโลกคือ พญามารหรือซาตาน
  5. 12:38 อิสยาห์ 53:1
  6. 12:40 อิสยาห์ 6:10