กฎระเบียบเกี่ยวกับโรคติดต่อทางผิวหนัง

13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสและอาโรนว่า “หากผู้ใดเกิดอาการบวมที่ผิวหนัง หรือเป็นผื่น หรือมีรอยด่าง ให้สงสัยว่าเป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง[a] จะต้องนำผู้นั้นมาพบปุโรหิตอาโรนหรือบุตรชาย[b]คนหนึ่งคนใดของอาโรนที่เป็นปุโรหิต ปุโรหิตจะต้องตรวจดูรอยโรคของผู้นั้น หากขนบนผิวหนังบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวและรอยโรคนี้ลามลึก[c]กว่าผิวหนังลงไป แสดงว่าเป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทินตามระเบียบพิธี แต่หากผิวหนังบริเวณนี้เป็นด่างแต่ไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง และขนในบริเวณดังกล่าวก็ไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีขาว ปุโรหิตจะต้องกักตัวเขาไว้ดูอาการเป็นเวลาเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดปุโรหิตจะตรวจผู้นั้นอีกครั้ง หากบริเวณที่บวมดังกล่าวยังอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง ปุโรหิตก็จะกักตัวเขาไว้อีกเจ็ดวัน ในวันที่เจ็ดปุโรหิตจะตรวจผู้นั้นอีกครั้ง หากรอยโรคดีขึ้น ไม่ได้ลามลึกลงไป ปุโรหิตก็จะประกาศว่าเขาไม่เป็นมลทิน เป็นเพียงผื่นธรรมดา ผู้นั้นต้องซักเสื้อผ้าของตน แล้วเขาก็จะสะอาด แต่หากผื่นนั้นเห่อลามไปหลังจากที่เขาให้ปุโรหิตตรวจดูหนหนึ่งแล้ว เขาจะต้องกลับมาหาปุโรหิตอีก ปุโรหิตจะตรวจเขาใหม่ หากเห็นว่าผื่นนั้นเห่อลามตามผิวหนังก็จะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคติดต่อ

“หากผู้ใดเป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง ต้องนำเขาไปพบปุโรหิต 10 แล้วปุโรหิตจะตรวจผู้นั้น หากเขามีอาการบวมซีดที่ผิวหนัง ขนบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาว และรอยบวมนั้นปริแตกเป็นแผล 11 เขาก็เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทินโดยไม่ต้องกักตัวไว้ดูอาการอีก เพราะเขาเป็นมลทินแล้ว

12 “แต่หากปุโรหิตเห็นว่ารอยโรคนั้นกระจายไปทั่วตั้งแต่ศีรษะจดเท้า 13 ปุโรหิตต้องตรวจดูเขา หากรอยโรคนั้นปกคลุมไปทั้งตัว ให้ประกาศว่าเขาไม่เป็นมลทิน เนื่องจากร่างกายของเขากลายเป็นด่างขาวไปทั้งตัว เขาจึงสะอาดไม่เป็นโรคติดต่อ 14 แต่เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายของเขามีแผล ผู้นั้นก็เป็นมลทิน 15 เมื่อปุโรหิตพบเห็นรอยแผลนั้น ให้ประกาศว่าเขาเป็นมลทิน รอยแผลนั้นไม่สะอาด ทำให้เขาเป็นโรคติดต่อ 16 หากรอยแผลนั้นตกสะเก็ด ให้เขากลับไปหาปุโรหิต 17 ปุโรหิตจะตรวจดูอีกครั้ง หากแผลนั้นหายแห้งดีแล้ว ปุโรหิตก็จะประกาศว่าเขาหายจากโรคติดต่อ เขาสะอาดพ้นมลทิน

18 “หากผู้ใดเป็นฝีและหายแล้ว 19 แต่รอยฝีเกิดอาการบวมด่างหรือเปลี่ยนเป็นสีขาวอมชมพูเรื่อๆ ผู้นั้นต้องไปให้ปุโรหิตตรวจดู 20 หากอาการลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง และขนบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาว ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน โรคติดต่อทางผิวหนังได้ลามออกมาจากฝีนั้น 21 แต่เมื่อปุโรหิตตรวจดูแล้ว ขนบริเวณนั้นไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีขาว และรอยโรคนั้นไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง อีกทั้งสีก็กำลังจางลง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้ดูอาการเป็นเวลาเจ็ดวัน 22 หากโรคนั้นลามออกไปตามผิวหนัง ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคติดต่อ 23 แต่หากลักษณะของรอยโรคนั้นไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ลุกลามออกไป รอยนี้ก็เป็นเพียงแผลเป็นหลังจากเป็นฝี ปุโรหิตก็จะประกาศว่าเขาไม่เป็นมลทิน

24 “หากผู้ใดมีแผลไฟไหม้และแผลนี้กลายเป็นสีขาวหรือสีขาวอมชมพูเรื่อๆ 25 ให้ปุโรหิตตรวจดูรอยนั้น ถ้าขนบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีขาวและอาการลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง โรคติดต่อได้ลามจากรอยไหม้นั้นแล้ว ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง 26 หากปุโรหิตตรวจดูพบว่าขนบริเวณนั้นไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีขาว และรอยแผลนั้นก็ไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง อีกทั้งสีก็กำลังจางลง ให้ปุโรหิตกักตัวเขาไว้ดูอาการเป็นเวลาเจ็ดวัน 27 ในวันที่เจ็ดปุโรหิตจะตรวจผู้นั้นอีกครั้ง หากแผลนั้นลุกลามออกไป ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคติดต่อทางผิวหนัง 28 หากลักษณะของแผลนั้นไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ได้ลุกลามออกไป แต่กำลังจางลง รอยนี้ก็เป็นเพียงรอยบวมหรือแผลเป็นจากไฟไหม้ ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาไม่เป็นมลทิน

29 “หากชายหรือหญิงคนใดมีแผลที่ศีรษะหรือคาง 30 ให้ปุโรหิตตรวจดูแผลนั้น หากแผลลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง และขนบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและบางลง ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นแผลคัน เป็นโรคติดต่อที่ศีรษะหรือคาง 31 แต่หากปุโรหิตตรวจพบว่าแผลคันนั้นไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง และไม่มีขนสีดำในบริเวณนั้น ให้กักคนนั้นไว้ดูอาการเป็นเวลาเจ็ดวัน 32 ในวันที่เจ็ดให้ปุโรหิตตรวจดูผู้นั้น หากแผลคันไม่ได้ลามไปและไม่ได้มีขนสีเหลืองขึ้นมา อีกทั้งแผลนี้ก็ไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง 33 จะต้องโกนขนบริเวณรอบๆ แผลนั้นออก และปุโรหิตจะกักตัวเขาไว้อีกเจ็ดวัน 34 ในวันที่เจ็ดให้ปุโรหิตตรวจผู้นั้นอีก หากแผลคันนี้ไม่ได้ลามไปและไม่ได้ลามลึกลงไปใต้ผิวหนัง ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาสะอาด เขาต้องซักเสื้อผ้าและถือว่าเขาปราศจากมลทิน 35 แต่ถ้าแผลคันนั้นลามออกไปหลังจากประกาศว่าเขาไม่เป็นมลทินแล้ว 36 ปุโรหิตจะตรวจอีกครั้ง หากแผลคันนั้นลามออกไปก็ประกาศว่าเขาเป็นมลทินโดยไม่ต้องรอดูว่ามีขนสีเหลืองหรือไม่ 37 แต่หากปุโรหิตเห็นว่าแผลนั้นไม่ลามออกไปและมีขนสีดำขึ้นบริเวณนั้น แผลคันนั้นก็หายแล้ว เขาก็ไม่เป็นมลทิน และปุโรหิตจะประกาศว่าเขาสะอาด ไม่เป็นมลทิน

38 “หากชายหรือหญิงคนใดมีรอยด่างขาวขึ้นที่ผิวหนัง 39 ให้ปุโรหิตตรวจดู หากรอยเหล่านี้คล้ำลง รอยที่ขึ้นบนผิวหนังประเภทนี้ก็เป็นเพียงผื่นที่ไม่เป็นอันตราย เขาก็ไม่เป็นมลทิน

40 “หากชายคนใดผมร่วงจนหัวล้านเลี่ยน เขาก็ไม่เป็นมลทิน 41 หากผมบริเวณหน้าผากร่วงจนเถิก เขาก็ไม่เป็นมลทิน 42 แต่ถ้าบริเวณที่ล้านนั้นมีรอยแดงเรื่อๆ ก็เป็นโรคติดต่อที่ศีรษะหรือหน้าผาก 43 ปุโรหิตจะตรวจดู หากมีแผลบวมแดงเรื่อๆ ที่ศีรษะหรือหน้าผากคล้ายโรคติดต่อทางผิวหนัง 44 ชายผู้นี้ก็เป็นโรคติดต่อและเป็นมลทิน ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาเป็นมลทินเพราะแผลบนศีรษะของเขา

45 “ผู้ใดถูกตรวจพบว่าเป็นโรคติดต่อ ผู้นั้นต้องสวมเสื้อผ้าฉีกขาด ปล่อยผมรุงรังปิดส่วนล่างของใบหน้าและร้องว่า ‘เป็นมลทิน! เป็นมลทิน!’ 46 ตราบใดที่เขายังเป็นโรคติดต่อ เขาก็เป็นมลทิน และเขาต้องอยู่ตามลำพังนอกค่าย

กฎระเบียบเกี่ยวกับเชื้อรา

47 “หากสงสัยว่ามีราขึ้นที่เสื้อผ้าขนสัตว์หรือผ้าลินิน 48 หรือที่สิ่งถักทอจากลินิน หรือจากขนสัตว์ หรือที่แผ่นหนัง หรือเครื่องใช้ที่ทำจากหนัง 49 และมีจุดเขียวหรือแดงที่ของนั้น เครื่องใช้เหล่านั้นก็ขึ้นรา จะต้องนำมาให้ปุโรหิตดู 50 ปุโรหิตจะตรวจดูเชื้อรา และแยกเครื่องใช้เหล่านี้ไว้เจ็ดวัน 51 ในวันที่เจ็ดปุโรหิตจะตรวจดูอีกครั้ง ถ้าเชื้อรานั้นลามออกไปก็แสดงว่ารานี้มีพิษ ของสิ่งนั้นก็เป็นมลทิน 52 ต้องเผาทิ้งเนื่องจากมีราที่เป็นพิษ

53 “แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดูเครื่องใช้เหล่านั้นแล้วพบว่าราไม่ได้ลามออกไป 54 ต้องนำสิ่งเหล่านั้นไปซักล้าง แล้วแยกออกจากเครื่องใช้อื่นๆ ไว้เจ็ดวัน 55 หลังจากนั้นปุโรหิตต้องตรวจดูเครื่องใช้เหล่านี้อีก หากพบว่ายังมีราติดอยู่แม้จะไม่ได้ลามออกไปก็ให้ถือว่าเป็นมลทิน ต้องเผาทิ้ง ไม่ว่ารานั้นจะอยู่ด้านใดด้านหนึ่งบนของสิ่งนั้น 56 แต่หลังจากซักล้างแล้ว หากปุโรหิตตรวจพบว่าราในเครื่องใช้เหล่านี้จางลง ให้ตัดส่วนที่ขึ้นราทิ้ง 57 หากมีราปรากฏขึ้นอีกและลุกลามออกไป ให้เผาเครื่องใช้เหล่านี้ 58 แต่หากซักล้างแล้วไม่ปรากฏร่องรอย ก็ให้นำไปซักอีกครั้ง จึงจะถือว่าสิ่งนั้นสะอาด”

59 ทั้งหมดนี้คือกฎระเบียบเกี่ยวกับเชื้อราในเสื้อผ้า สิ่งถักทอ หรือสิ่งที่ทำจากหนัง บอกให้รู้ว่าเป็นมลทินหรือไม่

Footnotes

  1. 13:2 โดยปกติแปลว่า โรคเรื้อน แต่คำภาษาฮีบรูอาจหมายถึง โรคผิวหนังต่างๆ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงโรคเรื้อนเท่านั้น เช่นเดียวกับข้ออื่นๆ ในบทนี้
  2. 13:2 หรือลูกหลาน
  3. 13:3 หรือต่ำลงไปจากผิวหนังส่วนอื่นๆเช่นเดียวกับข้ออื่นๆ ในบทนี้

กฎเกี่ยวกับโรคผิวหนัง

13 พระผู้เป็นเจ้ากล่าวกับโมเสสและอาโรนว่า “เมื่อผิวหนังของผู้ใดบวมหรือเป็นผื่นหรือเป็นจุดด่าง และผิวของเขากลับกลายเป็นโรคเรื้อน ให้คนพาเขามาหาอาโรนหรือบุตรคนใดคนหนึ่งของเขาที่เป็นปุโรหิต ปุโรหิตจะตรวจดูจุดที่อยู่ตามผิวหนังของเขา ถ้าขนที่จุดนั้นเป็นสีขาวและดูเหมือนแผลลึกกว่าผิวหนัง แสดงว่าเขาเป็นโรคเรื้อน เมื่อปุโรหิตตรวจเสร็จแล้วก็ต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน แต่ถ้าแผลเป็นรอยด่างสีขาวอยู่ไม่ลึกกว่าผิวหนัง และขนบริเวณนั้นไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีขาว ปุโรหิตจะต้องกักตัวคนเป็นโรคไว้ 7 วัน ในวันที่เจ็ดปุโรหิตจะตรวจดูเขาอีก และตามความเห็นของปุโรหิต ถ้าโรคไม่ได้ลามมากขึ้นเขาจะต้องกักตัวผู้นั้นไว้อีก 7 วัน เพื่อจะตรวจอีกหลังจากนั้น 7 วัน ถ้าเห็นว่าแผลบริเวณนั้นจางลงและไม่มีการลามบนผิวหนัง ปุโรหิตจึงจะประกาศว่าเขาสะอาด มันเป็นเพียงผื่นธรรมดา ให้เขาซักเครื่องแต่งกาย แล้วจึงจะถือว่าเขาสะอาด แต่ถ้าผื่นลามไปตามผิวหนังแม้ว่าหลังจากที่ให้ปุโรหิตตรวจดูแล้วว่าเขาสะอาด เขาก็ยังจะต้องไปหาปุโรหิตอีก ปุโรหิตต้องตรวจเขาอีกครั้ง ถ้าผื่นนั้นลามบนผิวหนัง ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เพราะเป็นโรคเรื้อน

ถ้าผู้ใดเป็นโรคเรื้อน ให้คนพาเขาไปหาปุโรหิต 10 และปุโรหิตจะตรวจดูตัวเขา ถ้าแผลที่ผิวหนังของเขาบวมเป็นสีขาว ขนก็เป็นสีขาว และผิวที่บวมนั้นอักเสบ 11 จึงนับว่าผิวหนังของเขาเป็นโรคเรื้อนขั้นเรื้อรัง ปุโรหิตจะต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน อย่ากักตัวเขาไว้ เพราะเขาเป็นมลทินแล้ว 12 ถ้าโรคเรื้อนลามทั่วผิวหนังของคนเป็นโรคตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเท่าที่ปุโรหิตจะมองเห็นได้ 13 ปุโรหิตจะตรวจดูตัวเขา ถ้าโรคเรื้อนลามไปทั่วตัว ปุโรหิตจะประกาศว่าเขาสะอาดเนื่องจากตัวของเขาขาวไปทั่ว และเขาก็สะอาด 14 แต่เมื่อใดแผลนั้นอักเสบ เขาก็เป็นมลทิน 15 ปุโรหิตจะตรวจดูแผลที่อักเสบและประกาศว่าเขาเป็นมลทิน แผลที่อักเสบเป็นมลทินเพราะเป็นโรคเรื้อน 16 แต่ถ้าแผลที่อักเสบกลับดีขึ้นและกลายเป็นสีขาวอีก ก็ให้เขามาหาปุโรหิต 17 ปุโรหิตจะตรวจดูตัวเขา ถ้าโรคนั้นเป็นสีขาว ให้ปุโรหิตประกาศว่าคนนั้นสะอาด เพราะเขาสะอาด

18 ถ้าผิวหนังของผู้ใดเป็นฝีซึ่งหายแล้ว 19 แต่ต่อมาจุดที่เคยเป็นฝีเกิดบวมและเป็นแผลสีขาวหรือสีแดงเรื่อๆ ก็ต้องให้ปุโรหิตตรวจดู 20 เมื่อปุโรหิตตรวจดู เห็นว่าแผลลึกกว่าผิวหนังและมีขนเป็นสีขาว ให้ปุโรหิตประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคเรื้อนและกลายเป็นฝี 21 แต่ถ้าปุโรหิตตรวจเห็นแล้วว่าขนไม่เป็นสีขาว แผลไม่ลึกลงไปใต้ผิวหนังและจางลงด้วย ปุโรหิตต้องกักตัวเขาไว้ 7 วัน 22 แต่ถ้าแผลลุกลามผิวหนัง ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เขาเป็นโรคแล้ว 23 ถ้าขนาดของแผลอยู่คงเดิมไม่ลุกลาม แสดงว่าเป็นแต่เพียงแผลเป็นอันเกิดจากฝี ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาสะอาด

24 เมื่อผู้ใดถูกไฟไหม้ผิว และบริเวณที่ไหม้เป็นแผลอักเสบที่กลายเป็นสีแดงเรื่อๆ หรือสีขาว 25 ปุโรหิตจะต้องตรวจดูแผล ถ้าลึกลงไปใต้ผิวหนัง และมีขนเป็นสีขาว แสดงว่าเป็นโรคเรื้อนซึ่งลามไปยังจุดที่ถูกไฟไหม้ ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคเรื้อน 26 แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดูแผล ซึ่งไม่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง ขนไม่เป็นสีขาว และสีจางลง ปุโรหิตต้องกักเขาไว้ 7 วัน 27 ปุโรหิตจะตรวจดูเขาในวันที่เจ็ด ถ้าแผลลาม ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคเรื้อน 28 แต่ถ้าแผลอยู่คงเดิมโดยไม่ลาม และสีจางลง แสดงว่าแผลบวมจากการถูกไฟไหม้ ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาสะอาด เพราะมันเป็นแต่เพียงแผลเป็นที่ถูกไฟไหม้

29 เมื่อชายหรือหญิงมีแผลที่ศีรษะหรือคาง 30 ปุโรหิตต้องตรวจดูแผล ถ้าเห็นว่าลึกลงไปใต้ผิวหนัง มีขนเพียงไม่กี่เส้น และเป็นสีเหลือง ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน เป็นโรคผิวหนัง โรคเรื้อนขึ้นที่หัวหรือคาง 31 ถ้าปุโรหิตตรวจดูโรคผิวหนัง พบว่าไม่ลึกลงไปใต้ผิวหนังและไม่มีขนสีดำ ปุโรหิตต้องกักตัวคนที่เป็นโรคผิวหนังไว้ 7 วัน 32 ในวันที่เจ็ด ปุโรหิตจะตรวจดูโรค ถ้าโรคผิวหนังไม่ได้ลุกลาม ไม่มีขนสีเหลือง ผิวที่คันไม่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง 33 ต้องให้เขาโกนผมและหนวดเครา ไม่ใช่โกนบริเวณแผล ปุโรหิตต้องกักตัวคนเป็นโรคผิวหนังไว้อีก 7 วัน 34 ในวันที่เจ็ด ปุโรหิตต้องตรวจดูผิวที่คัน ถ้าไม่ได้ลุกลามและไม่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาสะอาด เขาต้องซักเครื่องแต่งกาย จึงจะถือว่าเขาสะอาด 35 แต่ถ้าโรคผิวหนังลุกลามออกไปอีกหลังจากการชำระล้าง 36 ปุโรหิตต้องตรวจดูตัวเขา ถ้าโรคผิวหนังที่คันนั้นลุกลาม ปุโรหิตไม่จำเป็นต้องดูผมหรือขนสีเหลือง เขาเป็นมลทิน 37 แต่ถ้าเท่าที่เขาตรวจดูผิวที่คันนั้นไม่เปลี่ยนแปลง และมีขนดำงอก ผิวหายคันแล้ว เขาก็สะอาด ปุโรหิตก็ต้องประกาศว่าเขาสะอาด

38 เมื่อผิวหนังของชายหรือหญิงใดมีจุดสีขาวๆ 39 ปุโรหิตต้องตรวจดู และถ้าจุดเหล่านั้นเป็นสีขาวจางๆ นั่นเป็นเพียงตำหนิที่ผิว เขาสะอาด

40 ถ้าชายใดผมร่วงจากศีรษะ ถึงเขาจะหัวล้านแต่เขาสะอาด 41 และถ้าชายใดผมร่วงจากหน้าผากหรือขมับ ผมส่วนหน้าผากล้านแต่สะอาด 42 แต่ถ้าหัวล้านหรือหน้าผากเถิกและมีจุดแดงเรื่อๆ นั่นคือโรคเรื้อนที่ลามไปถึงหัวหรือหน้าผากของเขา 43 ปุโรหิตต้องตรวจดูตัวเขา ถ้าพบจุดแดงเรื่อๆ บวมที่หัวล้านหรือหน้าผากเถิกของเขา เหมือนกับโรคเรื้อนที่เป็นตามตัว 44 เขาเป็นโรคเรื้อน เขาเป็นมลทิน ปุโรหิตต้องประกาศว่าเขาเป็นมลทิน โรคนั้นลุกลามไปถึงศีรษะของเขาแล้ว

45 ผู้เป็นโรคเรื้อนต้องสวมเครื่องแต่งกายขาดๆ ปล่อยผม ปิดริมฝีปากบนและร้องว่า ‘เป็นมลทิน เป็นมลทิน’ 46 เขาจะยังเป็นมลทินตราบที่เขายังเป็นโรคอยู่ เขาเป็นมลทิน และจะต้องแยกออกไปอาศัยอยู่นอกค่าย

47 เมื่อพบว่ามีเชื้อโรคเรื้อนติดอยู่ที่เครื่องแต่งกาย ไม่ว่าจะเป็นผ้าขนสัตว์หรือผ้าป่าน 48 เนื้อผ้าทอหรือถักด้วยใยป่านหรือขนสัตว์ หรือสิ่งใดที่ทำจากหนังสัตว์ 49 ถ้าเชื้อโรคที่ติดเครื่องแต่งกายเป็นสีเขียวหรือแดง ไม่ว่าบนเนื้อผ้าทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ นั่นเป็นเชื้อโรคเรื้อนติดอยู่ ต้องให้ปุโรหิตตรวจดู 50 ปุโรหิตตรวจเชื้อโรค และกักสิ่งนั้นไว้ 7 วัน 51 เมื่อปุโรหิตตรวจดูในวันที่เจ็ด เห็นว่าเชื้อโรคแพร่กระจายไปตามเครื่องแต่งกายที่ทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ เชื้อโรคนั้นเป็นเชื้อโรคเรื้อนขั้นร้ายแรงและเป็นมลทิน 52 ปุโรหิตต้องเผาเครื่องแต่งกายที่ทอหรือถักจากขนสัตว์หรือผ้าป่าน หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ เพราะเป็นโรคเรื้อนขั้นร้ายแรง ต้องนำไปเผาไฟทิ้งเสีย

53 ถ้าปุโรหิตตรวจดูแล้วเห็นว่า โรคไม่ได้แพร่กระจายไปตามเครื่องแต่งกายที่ทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ 54 ปุโรหิตต้องสั่งให้คนซักสิ่งที่มีเชื้อโรคติดอยู่ และกักของไว้อีก 7 วัน 55 ปุโรหิตต้องตรวจดูสิ่งที่มีเชื้อโรคติดอยู่ที่ได้ซักล้างแล้ว ถ้าจุดติดเชื้อไม่เปลี่ยนสี และถึงแม้เชื้อไม่แพร่กระจาย แต่ก็นับว่าเป็นมลทิน ท่านจงใช้ไฟเผาสิ่งนั้นเสียไม่ว่าจุดติดเชื้อโรคจะอยู่ด้านในหรือด้านนอกก็ตาม

56 แต่ถ้าปุโรหิตตรวจดูเห็นว่าเชื้อโรคจางลงหลังจากซักล้างแล้ว เขาก็ต้องฉีกบริเวณจุดนั้นให้ขาดออกจากเครื่องแต่งกายหรือหนังสัตว์ หรือชิ้นที่ทอหรือถัก 57 และถ้าเกิดมีเชื้อโรคติดอยู่ที่เครื่องแต่งกาย ผ้าทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์อีก แสดงว่าเชื้อโรคกำลังแพร่กระจาย เจ้าก็จงใช้ไฟเผาสิ่งที่ติดเชื้อโรคเสีย 58 ถ้าซักล้างเครื่องแต่งกาย ผ้าทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ที่มีเชื้อโรคติดอยู่ จนทุกสิ่งสะอาดเกลี้ยงเกลาแล้ว ก็ยังต้องซักล้างอีกเป็นครั้งที่สอง มันก็จะสะอาด”

59 นี่เป็นกฎบัญญัติสำหรับโรคเรื้อนติดที่เครื่องแต่งกายผ้าขนสัตว์หรือผ้าป่าน ผ้าทอหรือถัก หรือสิ่งที่ทำจากหนังสัตว์ เพื่อตัดสินว่าสิ่งใดสะอาดหรือเป็นมลทิน